ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

แก้จิต

๙ ก.ย. ๒๕๕๒

 

แก้จิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงพ่อ : ว่าไปเลย

โยม : เมื่อเช้าเดินอยู่ในตลาดครับ ไปซื้อของ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างแล้วมันรวมลงครับ พอรวมลงแล้วโดยปกติผมก็ระลึกอยู่ที่ลมหายใจ พอมันรวมลงแล้วมันถึงจุดที่มันเห็นว่าผมหยุดเดิน หยุดเดินแล้วก็ตะโกนข้างในบอกว่า

หลวงพ่อ : โลกนี้น่าเบื่อ

โยม : น่าเบื่อครับ แล้วเบื่อจิตตัวเองด้วยว่ามันนี่แหละเหี้ยตัวจริงครับ

หลวงพ่อ : อืม..ว่าไป

โยม : แต่ทำอะไรมันไม่ได้สักทีหนึ่งครับ

หลวงพ่อ : โยมกำหนดอย่างไร โยมภาวนาอย่างไร

โยม : หลายอย่างครับ กำหนดที่ลมหายใจตลอดทั้งวัน แม้แต่เวลายืนเดินนั่งนอนผมก็อยู่ที่ลมหายใจ อยู่ที่ลมหายใจ แล้ววันนี้เป็นวันที่เหมือนผมล้าที่สุด ผมถึง เหมือนมันอ่อนแอที่สุดเลยครับ เท่าที่เคยภาวนามา

หลวงพ่อ : กำหนดลมหายใจนี่กำหนดลมหายใจตรงๆ เลยเหรอ มีอะไรบ้าง มีอะไรเวลาเปลี่ยนแปลง

โยม : ไม่มีเลยครับ รู้ระลึกเข้าออกอยู่ตลอดเวลาครับ ไม่ว่าพูดไม่ว่าคุย หรือว่าเวลาการงานครับ

หลวงพ่อ : แล้วจับแนวนี้มาโดยใครแนะนำ

โยม : จับแนวนี้มา ตอนแรกจับพุทโธ เมื่อ ๘ ปีที่แล้ว ๗ ปีที่แล้วมากราบพระอาจารย์ พระอาจารย์บอกว่า พระอาจารย์ให้การบ้านไป พระอาจารย์บอกว่า ผมถามพระอาจารย์ว่า อาการที่จะรักษาสภาวะใดสภาวะหนึ่งไว้ คือรักษาแค่สภาวะ พระอาจารย์บอกคำเดียวคือพุทโธ จากพุทโธผมก็พุทโธมาโดยตลอด พอพุทโธสักพักหนึ่งพุทโธมันก็จืด พุทโธมันก็หายไป เรารู้แต่ระลึกลมหายใจว่าระลึกเข้าระลึกออกระลึกเข้า พอเวลาระลึกเข้าระลึกออก มันก็แปล๊บ บางช่วงมันก็จะมีแปล๊บเข้ามา ผ่าเข้ามาในกลางใจ พอเวลาได้สติ ได้สติขึ้นมาผ่าเข้าไปในกลางใจ พอผ่าเข้าไปในกลางใจแล้วนี่ แต่ว่ามันยังติดครับ

หลวงพ่อ : ติดหมดแหละ

โยม : ติดครับ

หลวงพ่อ : เราจะถามอยู่ เวลาเริ่มต้น การภาวนานี่นะ เวลาพูดถึงการภาวนานี่เหมือนคนไข้ไปหาหมอ ถ้าคนไข้ไปหาหมอ หมอจะดูอาการว่าคนไข้นั้นเป็นไข้อะไรใช่ไหม แล้วสมุฎฐานของโรค เราแก้ตามสมุฎฐานของโรคนั้น ไอ้นี่ก็เหมือนกันนี่ พอเราบอกว่ากำหนดลมหายใจหรือกำหนดพุทโธนี่ เราพูดไว้เยอะมาก เพราะตอนนี้กระแสมันแรงเรื่องดูจิตเรื่องอะไรนี่ พอกระแสมันแรงนี่คนก็จะปล่อยตรงนี้ แล้วไปทำกันตามสะดวกสบาย พอทำตามสะดวกสบายปั๊บ มันจะมามีปัญหาตรงนี้ ปัญหามันจะไปไม่ได้ มันจะไปตันหมดแหละ

พวกนี้ครึ่งๆ กลางๆ ไปไหนไม่รอดหรอก ไปไหนไม่ได้ ทีนี้พอมันไปไม่ได้ เราถึงถ้ามาปั๊บนี่เราจะดูสมุฎฐานก่อนไง ว่าเรานี่เราดำเนินการมาอย่างไร อย่างเช่นนะ อย่างเช่นถ้าเรามีเงินทองกัน เงินทองเราใช้จ่ายได้ตามกฎหมายใช่ไหม เพราะอะไร เพราะกฎหมายรองรับใช่ไหม เงินทองนี่แบงก์ของเรานี่ ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่ถ้าเราไปคิดกันเอง เราไปทำกันเองขึ้นมา แบงก์ของเรานี่เราทำให้เหมือนกับแบงก์จริงนั่นแหละ แต่ใช้ตามกฎหมายไม่ได้หรอก

นี่เปรียบเทียบไง เปรียบเทียบ ทีนี้พอเรามาปฏิบัติ ถ้าพูดถึงถ้าเป็นธรรมะจริง อาการที่มันบอก มันจะฟ้องหมดเลย แต่ถ้าธรรมะเทียมนะ มันพูดอะไร มันพูดมาผิดหมดเลย ทีนี้ถ้าผิดปั๊บนี่มันต้องย้อนกลับไป นี้เราพูดประสาเรานะ ต้องย้อนกลับไปดูสมุฎฐาน สมุฎฐานว่าเอ็งมากันอย่างไร ถ้ามาถูกทางนะมันผิดไปไม่ได้ แต่ถ้ามาถูกทางนะ

ถ้ามาถูกทางผิดไปไม่ได้ แต่ถ้ามาผิดทาง มันเพราะอะไรรู้ไหม เพราะพวกเรานี่พวกเราเป็นสมมุติกันอยู่แล้ว ในใจเรามีกิเลสอยู่แล้ว แล้วปฏิบัติธรรม ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ชัวร์แน่ๆ อยู่แล้ว แต่เราปฏิบัติไม่ถึงหรอก แล้วเราตีความเอา เห็นไหมเงินไม่จริงแล้ว ถ้าเงินจริงปั๊บ ธรรมะนี่มันต้องเป็นตามความเป็นจริง

นี่เราเปรียบเทียบก่อนนะ เราเปรียบเทียบให้ดูปั๊บ ทีนี้คำว่าพุทโธ พุทโธนี่มันจืด ถ้าเรากำหนดพุทโธแล้วมันจืด จืด ! จืดเพราะอะไร จืดเพราะเราไม่ได้ลิ้มรสของมัน นี่เขาบอกว่าพุทโธ เวลาบอกทำไมต้องพุทโธ เพราะเวลาใครมาเราจะบอกพุทโธตลอด พุทโธตลอด เพราะว่าพุทโธนี่มันเป็นพุทธานุสสติ อารมณ์เรานี่ฟุ้งซ่าน อารมณ์เรานี่มันทุกข์ยาก เราคิดตามตัณหาความทะยานอยาก คิดตามจิตใต้สำนึก คิดตามความปรารถนาของเรา แต่เราไม่เข้าใจหรอกว่านี่คือกิเลส แต่เราเปรียบพุทโธนี่เห็นไหม ถ้าความทุกข์เห็นไหมเราอยู่กับมันใช่ไหม เราอยู่กับมันเราอยู่กับลมของเรานี่ เราอยู่กับลมตามชีวิตประจำวันของเรานี่ แล้วก็อย่างนี้ทุกๆ คนนี่ หาทางออกไม่ได้หรอก แล้วก็วนกันอยู่อย่างนี้

 

โยม : มันเปรียบเทียบกับโต้งได้คุยกับโต้งเมื่อตอนเช้าบอกว่า ตอนนี้เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอนครับ

หลวงพ่อ : ใช่ เราก็ต้องระลึกถึงพุทโธเพื่อเปลี่ยนความคิดไง พุทโธก็เป็นความคิดอันหนึ่ง แต่ความคิดด้วยพุทธานุสสติ ความคิดนี้มันสะอาด ทีนี้ถ้ามันจืดมันชืดนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ

อันนี้ย้อนกลับมานี่ ย้อนกลับมาถ้ากำหนดลม กำหนดลมนี่กำหนดลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา มีสติพร้อมมันตลอดเวลา ทำอย่างนี้นานขนาดไหน

โยม : เป็นปีครับ

หลวงพ่อ : อยู่กับมันได้ด้วยความมั่นใจเนาะ ไม่ลอกแลกเนาะ

โยม : ไม่ลอกแลกครับ อยู่กับลมหายใจ ระลึกรู้เข้าออก

หลวงพ่อ : แล้วเวลานั่งอยู่ทำอย่างไร

โยม : นั่งอยู่ก็ระลึกอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อ : แล้วมันมีอาการอย่างไร

โยม : อาการลมหายใจก็ส่วนหนึ่ง

หลวงพ่อ : ถ้ามันดีที่สุดนี่ ตอนที่ภาวนาแล้วดีที่สุด คือว่าเราภาวนาแล้วจิตมันนิ่งที่สุด ดีที่สุดขนาดไหน

โยม : ดีที่สุดตรงที่เคยทำมา อยู่ลมหายใจใช่ไหมครับ บางทีผมก็มีบางครั้งที่กลับไปพุทโธ ช่วงนี้ที่พอมีปัญหาผมก็กลับไปพุทโธ พอกลับไปพุทโธมันแบ่งเลยครับ ลมหายใจ สติอยู่ตรงนี้ แต่ในใจนี่มันอู้ฮู.. แทบจะระเบิดครับ

หลวงพ่อ : ไม่หรอกเราจะถามว่า ตอนกำหนดลมหายใจที่ทำแล้วดีที่สุดนี่ ใจเราเป็นอย่างไร ใจสงบไปได้ขนาดไหน

โยม : ใจสงบลงไปถึงไม่วอกแวก แม้แต่การเดินก็ไม่วอกแวกครับผม แม้แต่เดินแม้แต่ยืน แม้แต่นั่ง แม้แต่นอนก็อยู่ที่ตัวเราครับ

หลวงพ่อ : เราจะบอกว่า ถ้าจิตใจเรานี่มันไม่มั่นคง ฐานเราไม่ดีนี่ เราขยับออกไปทำงานนี่เราจะไม่มั่นคง ฐานเราต้องมั่นคง นี่เขาบอกคำว่าฐานมั่นคงนี่ เวลาออกไปทำงานนี่มันไม่จำเป็นว่า ฐานเราสมมุติอย่างเช่นเรานี่ อย่างเช่นเรา ไม่ใช่ว่าเราต้องมีเงินจนล้นฟ้าแล้ว เราถึงค่อยออกไปประกอบธุรกิจ เราจะมีเงินมากเราก็ประกอบธุรกิจได้มั่นคง ถ้าเรามีเงินน้อย เราก็ประกอบธุรกิจที่เราพยายามจะทำสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา เห็นไหม

จิตก็เหมือนกัน คำว่ามั่นคงนี่มั่นคง ไม่ใช่ว่ามั่นคงแล้วต้องรอจนจิตสงบ จิตเต็มที่แล้วค่อยออก ที่เขาพูดกันไงว่าเราต้องจิตสงบเต็มที่เลย พุทโธ พุทโธนี่แล้วเมื่อไหร่มันจะได้วิปัสสนา การใช้ปัญญามันได้ตลอด อันนี้พอถ้าจิตเรามั่นคงปั๊บนี่ เวลาเห็นรับรู้นี่ เห็นรับรู้นี่มันจะพัฒนาขึ้น เพราะเหมือนผู้ใหญ่เห็น เหมือนเรามีกำลัง เป็นผู้บริหารนี่เราควบคุมได้ แต่ถ้ากำลังเราน้อย เราเห็นอะไรแล้วนี่มันจะเกิดลังเล เกิดลังเล เกิดความไม่แน่ใจ ทั้งๆ ที่รู้เห็นอยู่ก็ไม่รู้ว่ารู้เห็นอะไร ทั้งๆ ที่เห็นอยู่นี่แต่ไม่รู้ว่าเห็นอะไร เห็นอยู่ รู้อยู่ แต่มันไม่รู้ว่าอะไร

แต่ถ้าอย่างนั้นปั๊บนี่เราก็กลับมาที่ลม แล้วอย่างที่ว่านี่ พอเห็นแล้ว แหม..มันอึดอัด มันอัดอั้นตันใจนี่ มันธรรมะนะ เวลาธรรมะนี่ ธรรมะหมายถึงว่า เห็นไหมเขาบอกว่า เวลาสอนกันทั่วไปนี่เห็นไหม สภาวธรรม สภาวธรรม สภาวธรรมเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่หรอก สภาวธรรมเป็นธรรมชาตินี่ อย่างลมพัดนี่มันต้องเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะลมมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา มันเป็นธรรมชาติของมัน

แต่สภาวธรรมนี่มันจะเป็นธรรมะต่อเมื่อจิตออกไปรู้ไปเห็น ถ้าจิตออกไปรู้ไปเห็น ทฤษฎีก็มีอยู่แล้ว แต่จิตไปรู้ไปเห็นนี่ จิตที่ไปรู้ไปเห็นไง จิตที่เราสงบ จิตที่เราเห็น เห็นไหม ทีนี้พอไปเห็นขึ้นมานี่ เห็นสภาวะอย่างนั้นแล้ว เห็นแล้วนี่มันอึดอัดขัดข้องขนาดไหนนี่ ตั้งสติไว้เพราะกำลังเราไม่มี แล้วกลับมาที่กำหนดลม กลับมาที่กำหนดลม !กลับมาที่กำหนดลม ! จำไว้ !

นี้คนเรานี่มันคิดไม่เหมือนกันไง กำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธ กำหนดอะไรก็แล้วแต่นี่ ผลของมันคือสมถะ ผลของมันคือสมาธิ แก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีจิตออกไปรับรู้นี่ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็เวียนวัฏฏะโว้ย ธรรมชาติก็เวียนวนอยู่นั่นแหละ ธรรมะมันต้องจิตนี่ออกรู้ แต่จิตออกรู้จิตต้องมีฐาน ถ้าจิตไม่มีฐานนี่เห็นไหม รู้แล้วก็งง รู้แล้วนะเห็นแล้วนะตื่นเต้นมาก เห็นแล้วมีรสชาตินะ ถ้าจิตมีฐาน จิตที่มันเป็นธรรมะนี่ มีรสชาติ นี่ธรรมโอสถ ธรรมรส เห็นไหม รสที่ตอนเช้าที่เห็นนี่เห็นไหม มันฝังใจไหม

โยม : ฝังใจครับ

หลวงพ่อ : ฝังใจมาก

โยม : มีแบบฟ้าผ่าแบบนี้ลงมาหลายหนมากครับ

หลวงพ่อ : แต่ทำไม่ได้ แล้วทำอย่างไรต่อไปล่ะ

โยม : พิจารณาครับ

หลวงพ่อ : พิจารณาอย่างไร

โยม : พิจารณาว่ามัน ผมเคยรำพึงกับตัวเองว่า แท้ๆ ก็อยู่ในถังขยะ

หลวงพ่อ : ใช่ ว่าไปสิ

โยม : พออยู่ในถังขยะแล้วตัวเราก็ยังไม่มีใคร โทษนะครับ กูนี่เหี้ยที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหี้ยมากกว่ากูแล้ว

หลวงพ่อ : เออ คิดอย่างนี้ พอเหี้ยปั๊บนี่ ผลของมัน ผลที่เหี้ยๆ นี่ตอบมาเป็นอย่างไรต่อไป ผลของมัน

โยม : นิ่งครับ

หลวงพ่อ : แล้วมีอะไรต่อไป

โยม : นิ่ง นิ่งแล้วก็ แต่ว่าไอ้ตัว โทษนะครับ ไอ้ตัวเหี้ยมันมุดรูครับ

หลวงพ่อ : นี่ไงมันไม่จบ มันไปไม่ได้ ต้องซ้ำไปเรื่อยๆ

โยม : มันมุดรูแล้วมันแถมยังบงการอยู่ในรูอีกครับ

หลวงพ่อ : ก็ต้องทำจิตให้สงบ แล้วจับตัวเหี้ยนั้นออกมา คำว่าจับตัวเหี้ยนะ ไม่ต้องไปจับมันหรอก พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เหี้ยนั้นมันต้องออกมา ใช้สิ่งนี้เป็นสื่อ เป็นสื่อที่มันจะออกไปหาผลประโยชน์ของมัน หาผลประโยชน์คือว่ามันต้องออกไป ตัณหาความทะยานอยากนี่มันต้องออกไปเสพ เสพที่มันพอใจ รูป รส กลิ่น เสียง ถ้าเหี้ยมันมุดรูนี่นะ มันปล่อยเฉยๆ นี่นะ มันปล่อยเฉยๆ ใช่ไหม

โยม : มันบงการด้วยครับ เพราะโต้งพูดมาคำหนึ่ง มันนอกจากมุดรูแล้ว มีสิ่งห่อหุ้มปกป้องมันแล้ว

หลวงพ่อ : เรายังไม่มั่นใจว่าโยมจับเหี้ยได้จริง

โยม : ยังไม่ได้เลยครับ

หลวงพ่อ : ใช่ เพราะถ้าจะจับมันได้นะ ถ้าจะจับมันได้จริงนี่มันต้องจิตสงบใช่ไหม พอไปเห็นสภาวธรรมนี่ รูปรสกลิ่นเสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าเราเห็นรูปรสกลิ่นเสียงแล้วเราปล่อยวางรูปรสกลิ่นเสียงไว้นี่ จิตมันสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามา นี่มันปุถุชน กัลยาณปุถุชน ปุถุชนนี่เดินโสดาปัตติมรรคไม่ได้

ปุถุชนนี่ อย่างเช่นเรา บอลนี่บอลในดิวิชั่นอะไรต่างๆ นี่ ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้เราจะเอาชื่อเราลงไปแข่งได้ไหม ไม่มีสิทธิ์ใช่ไหม เราต้องมีสิทธิ์ในนั้น ปุถุชนนี่มันจิตของเรานี่หยาบ มันจะเข้าไปรู้มรรคผลนี่เป็นไปไม่ได้ จะต้องทำความสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบนี่ นี่รูปรสกลิ่นเสียงนี่ ปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส มันควบคุมรูปรสกลิ่นเสียง สิ่งที่กระทบกับเราไม่ได้ มันเหมือนกับเราอยู่ในสังคมโลก มันก็เป็นธรรมชาตินี่ไง แต่ถ้าเราพิจารณาไปอย่างนี้ปั๊บมันจะปล่อย ปล่อยรูปรสกลิ่นเสียงเลย แล้วเห็นเลย เห็นที่ว่าตัวเหี้ยๆ นี่ เพราะรูปรสกลิ่นเสียงเป็นบ่วงของมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร

เป็นบ่วงเห็นไหมล่อ เป็นพวงดอกไม้คือแบบว่า เห็นไหมบ่วง บ่วงก็คือว่าล่อให้มาติด ติดแล้วมันก็ดึงเลย พวงดอกไม้ก็บูชาหลอกมึง เห็นไหม แต่ถ้าเราทำปั๊บนี่มันปล่อยตรงนี้ นี่กัลยาณปุถุชน นี่พอกัลยาณปุถุชนปั๊บนี่เหี้ยมันหลบแล้ว เพราะอะไร เพราะถ้ากัลยาณปุถุชนนี่ ยกจิตนี้เข้าไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยสัจธรรมนะ ธรรมชาติๆ ไม่ใช่ ธรรมชาติๆ คือขี้ลอยน้ำ สภาวธรรมเป็นธรรมชาติๆ ถ้าธรรมชาตินะไม่ต้องทำเหี้ยอะไรกันหรอก นั่งกระดิกตีนนี่ เดี๋ยวธรรมะมันจะมาเอง มันต้องออกหาไง เห็นไหมคำว่าเหี้ยมุดรูนี่มันถูกของมันแล้ว

ถ้าเหี้ยมุดรูนี่เห็นไหม ดูอย่างที่สามเณรน้อยสอนโปฐิละเห็นไหม ร่างกายนี้เหมือนจอมปลวก เหี้ยนี่มันซ่อนอยู่ในนี้ ให้ปิดไว้ ๕ รู เหลือแต่ใจไว้ เห็นไหม ปิดตา หูจมูก ลิ้น กาย แล้วเหลือใจไว้คอยจับเหี้ยตัวนั้น ตั้งสติไว้ ตั้งสติเห็นไหมคอยจับเหี้ยตัวนั้น นี่เป็นบุคลาธิษฐาน แต่ของเรานี่ เราจะจับมันอย่างไร จะจับอย่างไรมันก็ต้องตั้งสติใช่ไหม อย่างที่ว่าเห็นปั๊บมันปล่อยวาง ปล่อยวางเข้าไปนี่ เห็นไหม นั้นมันเห็นของมัน แล้วถ้าพอมันหลบขึ้นมานี่ นี่หลบขึ้นมาเห็นไหม แล้วก็ออกรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ในกายเราก็ได้

จริงๆ นี่นะเรื่องกามนี่มันติดที่เราก่อน เพราะมีเราถึงมีความต้องการ ไม่มีเราเห็นไหม นี่อู้ฮู..รักคนนู้นรักคนนี้ ไม่ใช่หรอก มึงรักตัวมึงเอง เพราะมีเราใช่ไหม เพราะกูมีกู กูรักเขาไง จะเป็นจะตาย จะเป็นจะตายขึ้นมาทีเดียวล่ะ แต่ความจริงนี่เพราะกูก่อน เพราะมีเรา เราถึงรักเขา เพราะมีเราเห็นไหม กรรมถึงเกิดที่เรา ทุกอย่างเกิดที่เรา พอเกิดที่เรามันก็ค้นเข้ามาที่นี่ไง ถ้าค้นเข้ามาที่นี่ ค้นเข้ามาที่นี่ ทุกอย่างจบได้

ทีนี้ค้นที่นี่ได้ มันก็ต้องมีสติ มีสติแล้วนะมันต้องมีกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานเกิดบนไหน งานเกิดบนภพ ภพคืออะไร ภพคือสภาวะ สภาวะคืออะไร สภาวะคือฐานของความคิด ความคิดตั้งอยู่บนอะไร กามราคะ ตัณหาความทะยานอยาก ร้อยแปดพันเก้าที่เอ็งว่านี่มันหลบๆ หลบลงที่ภพนี่ หลบลงที่นี่ ฐานที่นี่ ฐานที่นี่ พอฐานที่นี่เราก็ต้องจับเอาฐานนี่แหละออกมาทำ

หลวงพ่อ : ความรู้สึกเราตั้งอยู่บนอะไร ความคิดเราตั้งอยู่บนอะไร

โยม : บนจิตใจ

หลวงพ่อ : เออ..แล้วจิตใจมันอยู่ที่ไหน นี่ไงถ้ากำหนดลมเข้าไปแล้วมันจะเห็น ถ้ากำหนดลมเรื่อยๆ ทิ้งไม่ได้ ตั้งสติแล้วกำหนดลมเรื่อยๆ กำหนดเข้าไป กำหนดลมไป พอมีกำลังแล้วก็ออกฝึกออกทำงานนี่ ไอ้ที่มันไปรู้ไปเห็นนี่ มันเป็นจริตนิสัยของคน บางคนสงบเฉยๆ บางคนสงบแล้วเห็นนู้นเห็นนี่ การเห็นอย่างนั้น เขาเรียก “ธรรมเกิด”

“ธรรมเกิด” อย่างเช่นหลวงปู่มั่น ท่านบอกเวลาท่านนั่งภาวนาอยู่ในป่านี่ นี่สมเด็จถามว่า หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าท่านไปฟังเทศน์ใครวะ เราอยู่กับกองตำรานี่ เรายังต้องเปิดค้นตลอดเวลาเลย นี่เขาค้นตำราเพราะอะไร เพราะเขาทางวิชาการ แต่หลวงปู่มั่นบอกอู้ฮู..ผมฟังเทศน์ทั้งวันเลย เพราะอะไร เพราะนี่ธรรมะมันจะเกิดตลอดเวลา การตลาดนี่ธรรมะมันเกิดเห็นไหม นั่นล่ะเทศน์กัณฑ์หนึ่ง

ธรรมเกิดไม่ใช่อริยสัจนะ อริยสัจต้องมีผู้กระทำ ต้องมีฐานที่ตั้งแห่งการงาน กรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานคือตัวจิต แล้วจิตสงบเข้ามานี่ เราดูลมหายใจจะทำอะไรก็แล้วแต่นี่ สิ่งที่มันเป็น คือถ้ามันดูลมหายใจ ดูลมหายใจ ลมหายใจ สุดท้ายแล้วมันสงบกลับมาที่ฐานหมด วิธีการปฏิบัติทุกแนวทาง ทุกวิธีการ ผลของมันคือสมถะ ผลของมันคือปล่อยวางมาที่จิต แต่เขาเข้าใจผิดว่าปล่อยวางนั่นคือนิพพานกันหมดไง

แล้วยังดูถูกฤๅษีชีไพรด้วยนะ เขาดูถูกฤๅษีชีไพร โอ๋ย..ฤๅษีชีไพรนี่ไม่มีปัญญานะ โอ๋ย..ไม่มีปัญญา เขาไม่มีปัญญาเขาก็ยังรู้ว่าเขาไม่มีปัญญา มึงนี่พอมึงปล่อยวางเข้ามามันก็สมถะนั่นล่ะ แล้วยังดูถูกสมถะด้วยนะ แล้วตรึกในธรรมะพระพุทธเจ้านะ บอกว่านี่ปัญญา ปัญญามาก คือโง่กว่าฤๅษีไง ฤๅษีมันสงบแล้วไม่มีปัญญา มันก็ยอมรับว่ามันไม่มีปัญญาใช่ไหม

อันนี้สงบเข้ามา เสือกรู้ว่ากูมีปัญญา ปัญญาพระพุทธเจ้าไง จำธรรมะมาไง เลวกว่าฤๅษีอีก เพราะฤๅษีเขาเป็น เขาเป็นโดยข้อเท็จจริงของเขา ไอ้นี่หลงตัวเอง ยังไม่รู้จักตัวเอง ผลของมันคือสมถะไง มึงจะปฏิบัติวิธีการไหนก็แล้วแต่ ผลของมันคือสมถะหมด แต่ตัวเองเข้าใจเองว่านี่คือนิพพาน นี่คือความว่าง นี่คือธรรมะ เป็นไปไม่ได้

ถ้าอย่างนี้ปั๊บนี่ถ้ามันสงบแล้วขนาดไหน เพราะเราอย่างที่ว่านี่ เพราะตัวเองเจ้าตัวรู้อยู่แล้วว่าเหี้ยมันหลบลงไปในนั้น นี้ต้องจับเหี้ยมันออกมา ทีนี้การจับเหี้ยออกมานี่ เราก็คิดว่าโอ้โฮ..ถ้าเหี้ยหลบลงไปแล้ว เหี้ยตัวเป็นสภาวะแล้ว เพราะเราสมมุติได้ โอ้โฮ..ตัวเหี้ยอย่างนั้นนะ จะกระโดดไปหาตัวเหี้ย ไม่มีเจอหรอก เพราะเขาเป็นบุคลาธิษฐานเขาเปรียบเทียบ แต่เหี้ยก็คือนามธรรม เหี้ยก็คือตัณหาความทะยานอยากไง

โยม : พอเมื่อเช้านี่ครับ พวกผมเหมือนกับตะโกนกับตัวเองเลยครับว่าไม่มี คือไม่มีใครเหี้ยไปกว่านี้แล้ว ตัวกูนี่เหี้ยที่สุดแล้ว

หลวงพ่อ : ใช่ ถ้าเห็นนะ อัตตา หิ อัตตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเห็นแล้วตนแก้ไขได้ประเสริฐที่สุด

โยม : ผมทำไม่ได้ครับ

หลวงพ่อ : ทีนี้ส่วนใหญ่แล้วคนไม่เห็นไง เห็นไหม ทุกคนไม่โทษตัวเองโทษคนอื่นหมด ทั่วไปโลกทั่วไป ทีนี้ถ้าธรรมะนี่เห็นไหมต้องหาตัวให้เจอ

โยม : ผมกำหนดใจ คือว่าตอนนี้ผมแพ้ ผมคงจะแพ้มันครับ

หลวงพ่อ : แพ้อยู่แล้ว ไม่แพ้มันหรอก มันแพ้มันตั้งแต่ในมุ้ง อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ปฏิสนธิจิตคือตัวพญามาร ตัวพญามารนี่พาให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ มารมันครอบงำตั้งแต่มึงยังไม่เกิด ตั้งแต่อดีตชาติย้อนไปจนไม่มีต้นไม่มีปลาย มารมันครอบงำจิตมาตั้งแต่ต้น แล้วถ้ามันทำต่อไปไม่ได้ มันก็จะครอบงำไป จุตูปปาตญาณ จะต้องเกิดตลอดไป นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณนี่ จิตนี่วัฏวนมันจะเวียนตายเวียนเกิด โดยธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้

      แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง แพ้ตั้งแต่ก่อนเกิด เกิดมาแล้วก็แพ้ แล้วตายไปก็แพ้มันอีก แต่เพราะเราพบพุทธศาสนา เราถึงตั้งตนขึ้นมา ตั้งตัวขึ้นมาเพื่อจะปะทะกับมัน ตั้งตนขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมาว่ากูนี่เป็นชาวพุทธ กูจะประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ตั้งตนขึ้นมาเพื่อจะสู้กับใคร สู้กับมารในใจของเรา แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง แพ้ตั้งแต่ยังไม่เกิดนู้นเลย

โยม : แล้วทุกวันนี้มันหนักข้อขึ้นทุกวันอีกครับ ยิ่งสู้ยิ่งหนักข้อครับผม

หลวงพ่อ : เขาเรียกว่ากิเลสนี่มันรู้ทัน ถ้ามันหนักข้อขึ้นมานี่ เรานี่เห็นไหม ถ้ามันหนักข้อขึ้นมา ทำไมพระนี่เขาต้องหลีกเร้นล่ะ สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ สำคัญที่สุดเลย อาจารย์เป็นสัปปายะ

โยม : ผมไม่มีอะไรเอื้อเลยครับ

หลวงพ่อ : นั่น นี่พูดถึงนี่เพราะมีสัปปายะ ข้อควรปฏิบัติเห็นไหม คนจะเริ่มปฏิบัติเขาจะสู้กับมัน เขาต้องมีฐานก่อน ถ้าเราไม่มีอย่างนี้เลย แล้วคลุกคลีตลอดเวลา คือว่าเรากินของแสลงตลอดเวลา เอ็งป่วยขึ้นมาแล้วก็เสพทุกอย่างเลย แล้วพอไปหาหมอ หมอก็ไล่ออกจากโรงพยาบาลน่ะสิ

นี่ก็เหมือนกัน เราจะต่อสู้กับมัน แล้วเราแพ้ตลอด นี่พูดถึงว่าเหตุผลนี่มันแพ้อยู่แล้ว อันนี้ถ้ามันมีความจำเป็นใช่ไหม เรามีหน้าที่การงานของเรา เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา เราก็พยายามสำรวมของเรา แล้วเราพยายามปฏิบัติของเรา ได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะ ! เพราะเรามีสถานะอย่างนี้ ทีนี้มันก็ถึงเวลาที่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

โยม : เมื่อวาน ก่อนที่จะมาวันนี้ครับ เมื่อวานได้เจอแม่ ผมไปบอกแม่ว่าถ้าวันใดวันหนึ่งไม่เห็นผมก็คือผมเลือกสถานที่ที่จะไปบวช ก็ได้บอกแม่ไว้ตั้งหลายปีแล้วครับ แต่ก็ยังไม่ถึง

หลวงพ่อ : ฮึ เรายังคิดอย่างนี้หรอก อย่างการภาวนานี่นะมีขึ้นมีลงนะเว้ย เวลาดีแม่งก็อย่างนี้ เวลาลงแม่งรีบๆ จะวิ่งหนีเลยล่ะ

โยม : ก็อย่างเมื่อเช้านี่ลงสุดจริงๆ ครับ

หลวงพ่อ : ภาวนามีขึ้นมีลงนะเว้ย

โยม : แบบน้ำตาตกเลย หยดแหมะเลยครับว่าแพ้แล้วหรือ แค่นี้ก็แพ้แล้ว

หลวงพ่อ : เพราะอะไรรู้ไหม พวกเราต้องมีอาชีพ มันต้องมีหน้าที่การงาน ถ้าจะออกมาต้องคิดให้ดี ต้องคิดให้ดีว่าถ้าอยากไปมันจะไปได้ไหม แล้วถ้ามันไปไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าไปรอดก็ดีไป ถ้าไปไม่รอดก็ต้องคิดว่า ถ้าพูดถึงว่าเราจะลองว่าไปก่อน มันตันแค่ไหน ถ้าไปไม่ไหวค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง ทีนี้ใครจะกล้าเสี่ยงอย่างนี้ไหม

โยม : ตอนบวชเณรผมเคยจะไม่สึกแล้วครับ ย่าไปขอไว้

หลวงพ่อ : นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ไอ้นี่อยู่ที่เราจะคิดอย่างไร มันอยู่ที่บุญวาสนาของคนนะ อย่างของเรานี่ไม่มีใครปรารถนาให้บวชหรอก ยิ่งพ่อแม่นี่ไม่มีสิทธิ์ได้บวชเด็ดขาด อย่างเรานี่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเป็นหลักของบ้าน เป็นหลักเลย พ่อแม่นี่หวังเลยว่า ตัวนี้แหละจะเป็นตัวหลักไป เพราะรู้ๆ กันในบริเวณละแวกบ้านรับรู้กันหมด รับรู้กันหมด แต่มันก็มีเหตุบังเอิญ เหตุให้เราแบบว่ามันทนไม่ไหว มันต้องไปอย่างเดียว มันก็เลยฝืนทนมา

ออกมานี่โอ้โฮ..ขนาดว่า ธรรมดาใช่ไหมพ่อแม่ไม่อนุญาตนี่บวชไม่ได้ ถ้าไม่อนุญาต บวชไม่ได้หรอก เราก็อยู่บ้านทำงานเฉยๆ คือว่าทำงานแบบทาส แล้วไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ เลย ๒ ปีนะ จนกระทั่งเตี่ยก็แบบว่าเราประท้วงไง ก็เหมือนประท้วงกลายๆ นั่นแหละ ผลสุดท้ายบอก มึงจะไปไหนก็ไปเถอะวะ เท่านั้นแหละกูไปวัดเลย อนุญาตแล้ว เขาพูดด้วยประชดไง ต่างคนต่างประชดไง โอ้โฮ..พอบวชเข้าไปช็อกเลยล่ะ ช็อกเลยเหมือนกับคนแบบตรอมใจ ช็อกเลย อยู่โพธารามนี่เข้าโรงพยาบาลซานคามิลโล เข้าไปบ้านโป่งไง พอเราบวชแล้วเขาไปบอกไงว่า ไปนอนอยู่ในห้อง ICU เลย

โยม : พ่อแม่อาจารย์เหรอครับ

หลวงพ่อ : เสียใจขนาดนั้นเลยนะ แล้วเวลามาบวชแล้วนี่จะให้สึกอย่างเดียว เพราะไปแล้ว ก็หลุดปากไปแล้วใช่ไหม แล้วเราอยู่อีสานมา เดี๋ยวโทรเลขไปแล้วเราอยู่อีสานไง ให้กลับบ้าน เอ๊ะกลับมาทำไมวะ เพราะกลับมานี่เขาจะซื้อที่ซื้อทางกัน ให้มาแบบว่า เหอะ เก็บของกลับ เพราะทีแรกโทรเลขไปก็ไม่รู้ เรียกไปธุระอะไร ก็ต้องลงมา พอลงมาแล้วธุระอะไรวะ ไม่เอาไม่สน ไม่สน

นี่พูดถึงทุกคนมันก็มีความจำเป็นทุกคนแหละ อันนี้เพียงแต่ว่าเราจะเข้มแข็งไม่เข้มแข็งมันอยู่ที่เรา ถ้าเราเข้มแข็งอันนี้เขาเรียกวาสนานะ ถ้าเราเข้มแข็งปั๊บเราก็จะมีหนทาง เราจะมีความคิด เพราะในบ้านของเราในครอบครัวเรา จะรู้เลยว่าจุดอ่อนจุดแข็งมันอยู่ตรงไหน เราจะทำอย่างไร

หลวงพ่อ : โทษนะ นี่ใคร นี่ใคร

โยม : เป็นเพื่อนครับอาจารย์

หลวงพ่อ : เดี๋ยวหาว่าจู่ๆ มายุได้อย่างไร เดี๋ยวจะหาว่ายุได้อย่างไร ไม่ยอมไม่ยอม

โยม : เป็นเพื่อนกันครับ ยังไม่มีครอบครัวครับ

หลวงพ่อ : เดี๋ยวจะบอกว่าโอ๋ย..ฟังอย่างนี้ไม่ได้ ทำให้เขาแตกแยกได้อย่างไร ภิกษุ พูดให้เขาได้เสียกัน ให้เป็นครอบครัวกันก็เป็นสังฆาทิเสส ภิกษุยุแหย่ให้ครอบครัวเขาแตกแยกกันก็เป็นสังฆาทิเสส ชักให้เขาแต่งงานกัน ชักให้เขาสมสู่กันเป็นสังฆาทิเสส พูดให้แตกแยกกันก็เป็นสังฆาทิเสส ภิกษุนี่ ฉะนั้นเรื่องวินัยมันมีปัญหาอยู่ ทีนี้บางอย่าง แต่พูดธรรมะก็คือธรรมะ เราไม่มีเจตนาทำให้ใครเสียหาย นี้เพียงแต่ว่าโลกมันเสียหายกันเอง โลกมันก็ต้องเผชิญเอง กูไม่ได้กระทบกระเทือนด้วย แต่ก็ไม่ต้องการให้มันเสียหาย

อันนี้อย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ นี่เราจะพูดเพราะบางทีตอนนี้คนมันมาเยอะไง แล้วกระแสที่เขาบอกว่าพุทโธหรือการปฏิบัติของเรานี่มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ตอนนี้คนเข้ามาแนวนี้มาก แล้วมานี่โอ้โฮ..ปะทะกับเราเยอะมาก เราถึงบอกว่า พอพูดถึงการปฏิบัติแล้วเราจะพูดเลยแนวทางมาอย่างไร ถ้าแนวทางมันมาถูกต้อง มันเหมือนกับนักกีฬานี่ ร่างกายแข็งแรงนี่ ทักษะนี่เราฝึกได้ นักกีฬามานี่ แหม ต้องหามเปลมาเลยนะ บอกว่ามันเก่งๆ กูไม่เชื่อหรอก ไอ้นี่มึงยังเดินไม่ได้เลย มึงยังต้องหามเปลมาเลย

โยม : ครั้งที่แล้วจากกราบพระอาจารย์ไป ได้พุทโธไปก็ใช้พุทโธมาโดยตลอด ได้ไปกราบพระอาจารย์องค์ไหนๆ ก็ไม่เคยได้สนทนาธรรม ก็ใช้พุทโธของพระอาจารย์มาโดยตลอด แต่ก็นี่แหละแบบว่าติด ติด รถตกหล่มครับ

หลวงพ่อ : ถ้าติดก็ต้องกลับมานี่ กลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ลมหายใจ แล้วลมหายใจกับพุทโธนี่ใช้แทนกันได้ เพราะอะไร เพราะว่าบางทีนี่เรากำหนดลมขนาดไหนก็แล้วแต่ เรายังฟังดูว่าได้ขนาดไหน เรายังแบบว่ามันยังไม่ถึงใจเราไง ถ้ากำหนดลมหายใจ ลมหายใจเรื่อยๆ จนโอ้โฮ..มันขาด ลมหายใจขาดนะ มันจะรวมลงนะ กำหนดลมหายใจนี่มีฤทธิ์ อานาปานสตินี่ทำให้เกิดฤทธิ์มากเลย เดี๋ยวจะแจกซีดี เรามีอานาปานสติอยู่ มีทุกอย่างพร้อม อานาปานสติกำหนดลมหายใจนี่ กำหนดลม เราทำมาหมดแล้ว

โยม : มีรวมลงถึงสุดก็คือเดินออกจากห้องที่ห้องพักครับ เดินออกจากห้องพักแล้วมันรวมลงถึงสุดแล้วมันเหมือนราบ ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง

หลวงพ่อ : ขณะเดินอยู่เหรอ

โยม : เดินอยู่ครับ

หลวงพ่อ : ไม่ลง

โยม : เหมือนมันลงเต็มที่

หลวงพ่อ : ไม่เต็มที่หรอก ขณะเราเดินอยู่นี่ เพราะเราเดินจงกรมอยู่นี่ เวลาลมหายใจมันจะเริ่มเบาลง เบาลง เบาลงนี่ พอมันจะขาดนี่ตกใจเลยนะ ขนาดสติดีๆ นี่มันยังสะดุ้งเลย เฮ้ย ! พอตกใจมันก็เตือนเลย ไม่เป็นไรๆ ถ้ามันจะขาดให้มันขาดไป พอมันเริ่มจะขาดมันเริ่มจะขาด มันเดินไม่ได้ต้องนั่งลง แม้แต่ลมหายใจเริ่มเบาลงเบาลง เบาลงนี่รู้สึกตัวตลอดเลยนะ แล้วถึงที่สุดแล้วนี่ความรู้สึกนะ จากความรู้สึกที่มันกระจายออกไปนี่มันจะหดตัวเข้ามา หดตัวเข้ามา ถึงที่สุดแล้วดับหมด

พออย่างนี้ปั๊บนี่เขาบอกว่า จิตดับไม่ได้ ภาวะจิตดับจิตดับนี่ผิด คำว่าดับนี่มันดับจากความรู้สึกข้างนอก แต่ในหัวใจนี่โอ้โฮ..สว่างโพลง โอ้โฮ ! โอ้โฮ ! แต่มันเป็นเหมือน UFO นี่ เหมือนมนุษย์อวกาศนี่ คือมันสื่อสัมพันธ์กับโลกไม่ได้ไง จิตมันเป็นเอกเทศเลย เอ้อะ นั่งหลับตานี่ดับหมด ดับหมายถึงว่า สมมุติลมพัดมาอะไรมานี่จะไม่รับรู้อะไรเลย อายตนะไม่รับรู้อะไรเลย ดับ

สักแต่ว่ารู้นี่รวมใหญ่ ที่ว่าราบเป็นหน้ากลองนี่ ราบเป็นหน้ากลองนี่มันเป็นความรู้สึก เป็นความคิดหมดเลย มันไม่เป็นความจริง ความจริงไม่ใช่ความคิดนะ มันเป็นเอง เอ้อะ อู้ฮู แล้วเราลงอย่างนั้นทีหนึ่งหลายๆ ชั่วโมง

โยม : นั่นนานแล้วครับ แต่ว่าเมื่อเช้านี้ทุกอย่างมันยุบรวมอยู่ตรงนี้ครับ มันยุบ

หลวงพ่อ : อาการ อาการของจิต อาการของใจ อย่างเช่นเรานี่เราจับสิ่งใดอยู่ แล้วเราปล่อยมาเห็นไหม แล้วเราบอกเลยนะ ธรรมชาติของการเกิดปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตนะ นี่ปฏิสนธิจิตนี่ร่องรอยอยู่ในวัฏฏะ พอปฏิสนธินี่ในไข่ ในไข่ของมารดา ชีวิตเกิดหรือยัง ชีวิตเกิดแล้ว พอชีวิตเกิดแล้วนี่ ความรู้สึกอันนี้กับธาตุขันธ์

โยม : มันผูกกันอยู่

หลวงพ่อ : ใช่ มันมีกายกับใจแล้ว โยงแล้ว นี่อยู่ในครรภ์อีก ๙ เดือน พอคลอดออกมานี่ พอเป็นเรานี่เห็นไหม โดยธรรมชาติมนุษย์นี่ ความรู้สึกกับร่างกายนี่มันจะสัมพันธ์กัน แล้วมันจะเคลื่อนไหวไปโดยธรรมชาติของมัน นี่คนเขาบอกว่าเวลาภาวนาแล้วจิตมันออกจากร่างแล้วจะเข้าไม่ได้ ไม่มีทาง มึงยังไม่ตายนี่มันยังมีสัมพันธ์ มันยังมีตลอดไป

โยม : กำลังไม่เพียงพอที่จะแซะ

หลวงพ่อ : ไม่มีทาง ไม่มีแซะเซอะด้วย มันธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ พอธรรมชาติเป็นอย่างนี้ปั๊บนี่เรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือเรามาทำอานาปานสตินี่ นี่โดยธรรมชาติของมันนี่ โดยธรรมชาติของมันลองจับสิจิตอยู่ไหนวะ จิตนี่เป็นนามธรรมที่จับไม่ได้เลย แต่เราจับต้องตัวเรานี่เรามีความรู้สึกตลอดเวลา พุทโธ พุทโธนี่มันพยายามเอาความรู้สึกทั้งหมด ความรู้สึกของมันนี่มาอยู่ที่พุทธานุสสติ

พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนที่สุดพุทโธ พุทโธ พุทโธ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลามันลงพุทโธ พุทโธ พุทโธ จนมันแบบว่าดับหมด ทุกอย่างมันดับหมดนี่นะ พอดับหมดนี่ก่อนที่มันจะดับหมด อาการไง ก่อนที่มันจะดับหมดนี่นะ พอเราพุทโธ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ขณิกสมาธินี่มันสงบ นี่เราทำนิ่งๆ นะ เราทำพุทโธ พุทโธนี่จิตมันจะรวมมาหมดนะ ลมพัดมาก็เย็น เสียงมาก็ได้ยินนะ

นี่ขณิกสมาธิเห็นไหมมันรับรู้ได้ไง จิตสงบนี่รับรู้ได้ มันยังสงบเล็กน้อยไง แต่พอมาอุปจารนี่ คำว่าอุปจารสมาธิ มันลึกซึ้งกว่าขณิกสมาธิ เหมือนเงินนี่แบงก์ ๕๐๐ กับแบงก์ ๑,๐๐๐ แบงก์ใบเดียวกันเลย กระดาษเท่ากันเลย แต่แบงก์ใบหนึ่งมันมีค่า ๕๐๐ แบงก์ใบหนึ่งมีค่า ๑,๐๐๐ ขณิกสมาธิมีค่า ๕๐๐ นี่เห็นไหม อุปจารสมาธิ ๑,๐๐๐ เห็นไหม คำว่า ๑,๐๐๐ นี่ต้องมีค่ามากกว่าใช่ไหม

จิตที่คืออุปจารสมาธินี่มันมีค่ามากกว่า คือมันสงบได้มากกว่า ทีนี้คำว่ามากกว่ามันก็ให้ผลประโยชน์มากกว่า ผลประโยชน์มากกว่านี่ พอเวลามันออกรู้เห็นไหม ขณิกสมาธิก็รับรู้ต่างๆ แต่อุปจาระเวลามันออกรู้นี่มันเห็นกายได้ มันเห็นนิมิตได้เพราะอะไร เพราะอุปจาระจิตออกรู้ได้ อัปปนาสมาธินี่มันเป็นดราฟท์แล้ว มันเป็นเงินล้านเงินแสน แต่เงินดราฟท์ใช้จ่ายตามท้องตลาดได้ไหม ไม่ได้ ไม่ได้หรอก เห็นไหมตามหลักเขาก็ต้องใช้เงินสด

นี้พออัปปนาสมาธิเห็นไหม อัปปนาสมาธินี่อาการของอุปจาระ อาการที่มันรู้มันเห็น ที่เวลาคนเราจะสงบเห็นไหม เราจะบอกว่าระหว่างกายกับจิตนี่ถ้ามันจะปล่อยวางกันนี่ มันต้องมีความรับรู้ไง ธรรมชาตินี่กายกับจิตมันอยู่ด้วยกัน มันเกี่ยวเนื่องกัน ผิวหนังกับเนื้อ แล้วเราจะลอกผิวหนังออกมานี่ พอลอกผิวหนังออกมานี่ เนื้อนี่จะเต็มไปด้วยเลือดเลย ถ้าเราลอกผิวหนังออก นี่ผิวหนังกับเนื้อนะ

กายกับจิต พอทำความสงบของจิตนี่มันต้องมีอาการ มันต้องมีการกระเทือน มันจะต้องมีผลกระทบ แต่โลก ถ้าเป็นธรรมชาติของโลกเขาไม่มี เพราะอะไร เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนี่ คำว่าเกิดมาเป็นมนุษย์นี่นะ นี่อริยทรัพย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี่มันต้องมีมนุษย์สมบัติใช่ไหม ต้องมีศีล ๕ ถึงจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่อย่างนั้นนะ โธ่ วันนี้เดินบิณฑบาตนี่ ไอ้พวกเขาเอามาจับหมูจับอะไรในฟาร์มนี่ เห็นแล้วนะ มึงก็มีชีวิตว่ะ กูก็มีชีวิตว่ะ แต่ชีวิตกูนี่แม่ง ๑๐๐ ปีอายุขัย ชีวิตมึงนะไม่ถึง ๖ เดือน ยิ่งไก่นะ แม่ง ๔๕ วันมึงตายแล้ว ชีวิตมึงกำหนดมาพร้อมเลยนะ อย่างในฟาร์มนี่ ๔๕ วัน เขาฟักมันมานะ เขากำหนดวันตายมันเลย ๔๕ วัน แมลงวัน ๗ วัน

นี่ไงชีวิตกับชีวิตเห็นไหม แล้วชีวิตเราได้มนุษย์สมบัติขึ้นมาแล้วนี่ ได้ชีวิตขึ้นมาแล้วนี่ พอได้ชีวิตมาแล้วนี่ อันนี้ทรัพย์ที่มหาศาลเลย ทุกคนไปเห็น กันแต่ทรัพย์จากข้างนอกนะ ทุกคนว่าคนนี้มั่งมีคนนี้จะสุข ไม่ใช่หรอก มึงเกิดมานี่แม่งโคตรเฮงเลย โคตรๆๆๆ เลย แล้วมึงเอามาทำอะไรกัน เอามาเข่นฆ่ากัน เอามาทำลายกัน มันไม่เห็นอริยทรัพย์อันนี้ไง

นี้พอเรา เพราะเรามีพุทธศาสนา เราเชื่อธรรมะเห็นไหม เรามาพุทโธ พุทโธนี่ แค่กายกับจิตนี่นะมันแยกออกจากกันนี่มันต้องมีอาการ อาการของใจนี่ มันมีกระเพื่อมมีนิมิตมีต่างๆ นี่ ที่เขาบอกว่าเป็นสมถะ พุทโธนะมันจะมีนิมิต มันจะมีร้อยแปด ในเมื่อลมพัด ในเมื่อมีลมพัด อากาศที่มันเปลี่ยนแปลงนี่มันต้องมีการเคลื่อนไหวเป็นธรรมดา ในเมื่อจิตมันจะสงบนี่ จิตมันสงบแล้วไม่มีอาการที่จิตสงบมาเลยนี่ มึงเอาอะไรมาพูดวะ

อันนี้เพียงแต่พอเราชำนาญนี่ เราพุทโธมีสติชำนาญบ่อยครั้งใช่ไหม มันจะกระเพื่อมขนาดไหน อย่างลมพัดมานี่ เออพัดมาก็ดีเย็นดี นี่ไงอาการของจิตมันจะเกิด เออดีก็เข้าสมาธิไง เห็นไหมมันพร้อมนี่ จิตมันพร้อมมันรับรู้นะ คนที่ชำนาญในวสีนี่ โอ้โฮ..จะทำอะไรนะ อย่างพวกศิลปินช่างวาดเห็นไหม พั่บๆๆ โอ้โฮ..สวยฉิบหายเลย ให้กูวาด ๕ ปีก็ไม่ได้อย่างนี้ ให้กูถืออยู่ ๕ ปี กูยังวาดไม่ได้อย่างมันเลย พั่บๆๆ เสร็จแล้ว

ชำนาญในวสี ฝึกให้ชำนาญในวสี พอชำนาญในวสีมันจะเห็นอาการ นี่ผลกระทบที่มันจะปล่อยกัน เห็นไหม เข้าสมาธิมา ฉะนั้นอาการของจิต แล้วถ้าเราเข้าสงบแล้ว พออาการของจิตนี่ นี่คือธรรมชาติของมันนะ เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยไง พอเราชำนาญปั๊บนี่เราออกรู้ จากธรรมชาติที่มันเป็นของมันโดยธรรมชาตินี่ เพราะมีจิตรู้นะ รู้กาย เวทนา จิต ธรรม นี่ไม่ใช่ธรรมชาติแล้ว นี่สัจธรรมแล้ว อริยมรรคจะเกิดแล้ว อริยมรรคจะเกิด มรรคญาณจะเกิด เกิดต่อเมื่อจิตสงบแล้วตั้งมั่นได้ มีสติสัมปชัญญะพร้อม แล้วควบคุมมันให้ออกทำงาน นี่วิปัสสนาเกิดตรงนี้

ที่ทำๆ มานี่ไร้สาระ เราบอกเลยนะ ดูจิตนามรูปอะไรต่างๆ นี่ตัดรากถอนโคน ต้นไม้นี่มึงตัดครึ่งหนึ่งเอาไปปลูกได้ไหม ไม่มีทาง ต้นไม้จะปลูกเขาต้องมีราก มันก็ต้องเพาะขึ้นมาเป็นลูกเห็นไหม ต้องมีราก เขาจะตัดต่อกิ่ง เขาจะแนบกิ่งอะไรก็แล้วแต่ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันต้องมีราก

พุทโธ พุทโธ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญานี่ สมาธิอบรมปัญญามาจากไหน ทุกอย่างรวมลงที่จิต แต่กำหนดนามรูป นามรูปคืออะไร ดื่มนะ เออ ดื่มหนอ ไอ้บ้า ก็มึงแดกเข้าไปแล้วทำไมต้องมาแดกอีกล่ะ ดื่มมันก็รับรู้ใช่ไหม แล้วเราดื่มหนอนี่ความคิดใช่ไหม มันไม่ใช่ดื่ม ดื่มคือสัจธรรมคือการดื่ม แล้วดื่มหนอนั่นคืออะไร

ดูจิตก็เหมือนกัน นี้พอที่เขาว่าดื่มหนอ หลวงปู่มั่นสอนนะในมุตโตทัยเห็นไหม การเหยียดการคู้นี่ต้องมีสติสัมปชัญญะพร้อม มันออกมาจากรากไง ออกมาจากใจ แล้วมันสงบไปที่ไหน สงบเข้ามาที่ใจ พุทโธ พุทโธ พุทโธนี่ กำหนดลมนี่ เพราะเราเป็นคนกำหนด เรามีสติกำหนด แล้วถ้ากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธมันจะเข้ามา ถ้าเรามีสติแล้วกำหนด นี่เขาบอกไม่ต้อง มันจะเกิดเอง ตัดครึ่งหนึ่งเลย ตัดต้นไม้แล้วเอาไปปลูก มันถึงย้อนกลับมา ย้อนกลับมาที่ว่าการกระทำมา

การปฏิบัติมา พระป่าก็ปฏิบัติมาตั้งแต่หลวงปู่มั่นมา ดูสิมรรคผลนิพพาน แล้วที่เขาปฏิบัติกันนี่ใครมีผลบ้าง ไม่เคยเห็นผลเลย ตัดต้นไม้ครึ่งหนึ่ง ตัดต้นไม้ครึ่งหนึ่งแล้วเอาไปปลูกกัน ว่างๆ อู้ฮูต้นไม้ของเขาเป็นต้นไม้พลาสติกไง มันไม่เคยเฉาไง มันไม่เคยเฉา มันไม่เคยอะไรเลย อู้ฮู เขาก็ดูว่าสวยงามนะ แล้วก็เรียบร้อยนะ ไอ้พวกเรานี่แม่งไอ้พวกลูกทุ่งไง อัตตกิลมถานุโยค ยิ่งกูด้วยนี่นะโอ้โฮ..พูดจากระโชกโฮกฮาก โอ้โฮ..ไอ้นี่ต้องจับไปฆ่าตาย มันเป็นพระได้อย่างไรวะนี่

หลวงพ่อ : ว่ามา

โยม : เมื่อประมาณ ๓ ปีก่อนที่วัดเก่าครับ พอดีผมพาเพื่อนมากราบพระอาจารย์ครับ แล้วก็เพื่อนเขาก็ถามปัญหาธรรม ผมก็พอดีภาวนาแล้วจิตตกอยู่ ก็เลยถามพระอาจารย์ไป พอดีพระอาจารย์ไม่ว่างก็เลยบอกว่า ของมึงมันอีกนาน แล้วทีนี้ผมก็เลยยังไม่ได้มาอีกเลย แบบว่าตอนนั้นก็สารภาพตรงๆ ว่ารู้สึกว่า เอ๊ะทำไมของเราต้องอีกนานวะ อะไรอย่างนี้ครับ วันนี้ก็เลย มันติดมาหลายปีแล้วก็เลยมากราบพระอาจารย์เพื่อที่จะเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นครับ

หลวงพ่อ : คำว่าอีกนานนี่ คำว่าอีกนานหมายถึงว่าบางทีนี่ เวลาคนที่เขาภาวนาอยู่นี่ คนที่เขาภาวนาอยู่นี่ อย่างนี้อย่างเช่นภาวนาอยู่นี่ ของเขามีเหตุมีผลใช่ไหม คำว่าอีกนานนี่เพียงแต่ว่าเราจะทำได้หรือไม่ได้ อีกนานไม่ใช่เรานานไง อีกนานหมายถึงว่า ประสาเรานะ อย่างเช่นนักเรียนอนุบาลนี้ กับนักเรียนประถมหรือนักเรียนมัธยมนี่เห็นไหม อย่างเช่นนักเรียนอนุบาลนี่ มันก็ต้องอนุบาล ๓ ขึ้นมาประถม ๑ นี่ไงนานไม่นานล่ะ

เราจะบอกว่าเวลาคนพูดปัญหาตรงไหนนี่ เราจะรู้ว่าวุฒิภาวะของจิตมันอยู่ตรงไหน คำว่าอีกนานนี่ ถ้าพูดถึงถ้าคนนั้นเขาไม่ได้มาด้วย เราก็ไม่ว่าอีกนานเพราะอะไร เพราะเอ็งไม่มีเครื่องเปรียบเทียบ ถ้าเวลาเปรียบเทียบนี่ อย่างเวลาคนเรานี่เขาบอก อย่างเช่นเราพูดเลย อนุบาลเขาเรียนอะไรกัน เขาเล่นหัดเขียนหัดอ่านเฉยๆ เขาไม่ได้เรียนอะไรนะ เด็กให้หัดอ่านให้ได้ใช่ไหม แล้วพอเรียนประถมขึ้นไปนี่มันก็เริ่มเรียนเลขเรียนอะไรขึ้นไป นี่มัธยมก็เรียนสูงขึ้นไป

นี่วุฒิภาวะของจิต ไม่ใช่ว่าอีกนานแล้วมึงไม่มีโอกาสหรอก อีกนานหมายถึงว่าเด็กนี่มันเรียนอยู่ชั้นไหน อนุบาลก็อีก ๓ ปีไงมันจะขึ้นประถม ประถมอีกกี่ปีมันจะขึ้นมัธยม มันต้องมีตรงนี้กูถึงพูด เวลากูพูดอะไรนี่มันมีเหตุมีผล แต่คนฟังตีความไปอีกเรื่องหนึ่งไง

 

โยม : อย่างนั้นขอเล่าเรื่องการภาวนา

หลวงพ่อ : เออว่าไป

โยม : ผมภาวนาแบบอานาปานสติ ก็พอดูลมไปมันก็รู้ว่า แรกๆ ก็รู้ว่าลมเข้าลมออก หลังๆ มันก็จะรู้เป็นตลอดสาย แล้วมันก็ไปดูตรงที่จุดๆ เดียวของ คือก่อนหน้านั้นมันมีความคิดว่า เอ๊ะทำไมเรารู้แค่หัวกับปลาย เราไม่รู้ว่าลมหายใจเรา สมมุติว่าเมตรหนึ่งนี่ครับ ถ้าสมมุติเข้า ทำไมเราไม่รู้ตลอด พอดีเราก็ไปกำหนดที่จุดๆ เดียวแล้วสามารถรู้ตลอดได้ รู้ตลอดเสร็จแล้วมันก็จะมีนิมิตขึ้นมาเป็นแสงเหมือนเรานั่งรถไฟในอุโมงค์มืดๆ

หลวงพ่อ : นี่เห็นไหม กูจะหาตรงนี้ อ้าว.. ว่าไป

โยม : มันเป็นอุโมงค์มืดๆ แล้วมันมืดปุ๊บ แล้วเราก็เห็นแสงเท่ากับปลายเข็มหมุดเวลาจิ้ม แล้วพอเราดูที่แสงปุ๊บมันก็จะค่อยๆ สว่างขึ้นมาอย่างนี้ครับ อันนี้ผมก็ทำถึงแค่นั้นครับ เพราะว่าตอนนั้นมันกลัวครับ ทีนี้อาการที่มันเกิดนี่ ที่ผมเล่าครั้งที่แล้วคือว่า มันสุขมาก สุขแบบอย่างที่พระอาจารย์บอก สุขมาก แบบว่านิ้วอะไรมันไม่รู้สึก มันแผ่ซ่านมันสุขไปหมดอย่างนี้ครับ ทีนี้ผมก็เลยดีดดิ้นว่า เออ..อย่างนั้นกูจะอยู่ทางโลกทำไม ก็หนีๆ ทางโลกมันทุกข์ เราได้หนีทุกข์ก็เลยวิ่งไปตามวัดไปภาวนา มันก็ไม่ได้เป็นเหมือนเดิม

หลวงพ่อ : ไม่เป็น ว่าไป

โยม : แล้วก็เป็นอย่างนี้มาประมาณ ๕ ปี ก็เพิ่งมาคิดได้ว่า เออ..เป็นเพราะเราหนีทุกข์ เพิ่งมาคิดได้เมื่อ ๒-๓ วันนี้ครับ

หลวงพ่อ : ไม่หรอก เป็นเพราะเอ็งไปเจอพระที่แนะนำเอ็งไม่ได้ เอ็งไปคุยกับพระองค์อื่นฟัง แล้วพระพวกนั้นเขา จริงๆ นะเราไม่ใช่ว่านะ พระจริงๆ แล้วนี่ เรื่องที่จะแจกแจงตรงนี้ได้นี่หาได้น้อยมาก หาได้น้อยมากๆ เวลาพูดกันมรรคผลนิพพานเลยนะ ต่างคนต่างเพ้อเจ้อ ต่างคนต่างฝันเอาไง ต้องทำอย่างนี้ๆ มรรคผลนิพพาน พระมาหาเยอะมาก พอเวลาไปหาพระอะไรนี่ พิจารณากาย พิจารณากาย แล้วถามพระเลยบอก มึงถามมานี่พิจารณาอย่างไรล่ะ พิจารณากาย พิจารณากายก็คือตำราไง แล้วเราบอกพิจารณากายทำอย่างไรล่ะ มันก็บอกไม่ถูก

ฉะนั้นไอ้คำว่าหนีทุกข์ หนีทุกข์นี่ ไอ้อย่างที่เราไปนี่ถ้ามีครูบาอาจารย์แล้วคอยชี้คอยแนะนะ ถ้าคอยชี้คอยแนะมันจะเข้าเลย มันจะเข้าเลย อันนี้เพียงแต่ว่า อย่างนี้ประสาเรานี่ ขี่ม้าเลียบเมืองตรงนั้นล่ะ ถ้ากำหนดลมนะ นี่กำหนดลมหายใจนี่เห็นไหมต้นกับปลาย ต้นกับปลายนี่บางทีเพราะความเข้าใจผิดของ..

นี่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรานี่นะ หลวงตาจะเทศน์ประจำว่า การกำหนดลมหายใจนี่ กำหนดอานาปานสตินี่ให้อยู่ที่ปลายจมูก ให้อยู่ที่ประตูบ้าน ถ้าใครเข้าบ้านออกบ้านนี่เราเห็นหมด แต่ถ้าเวลาเรากำหนดตามลมนี่ มันเหมือนกับเวลาใครเข้ามาเราก็ตามคนนั้นเข้าไป นี่ไงมันถึงมีหัวท้ายไง ผลของการว่างไง

หลวงตาพูดประจำนะ ถ้าเราตามนี่เห็นไหม เวลาคนไม่เป็นมันสอนไง ลมสั้นเข้าก็รู้ว่าสั้นเข้า ลมเข้ายาวก็รู้ว่ายาว กูว่าเอ้อ มึงก็เพ้อเจ้อกันไปเนาะ ลมเข้าออกก็รู้ว่าออก เราทำไมต้องเข้าต้องออกด้วยมันเคลื่อน แต่ถ้าเราอยู่ที่ปลายจมูกเห็นไหม อยู่จุดเดียวมันจะเห็นหมดเลย

โยม : มันก็เหมือนอย่างนี้ครับ แต่ว่าเรารู้ตลอด

หลวงพ่อ : ใช่ จุดใดจุดหนึ่ง แล้วเราดูให้ชัดเจน กำหนดลมอย่างนี้แล้วจับลมไว้ เอ็งกลับไปจับลมไว้เฉยๆ เลย นี่จับลมไว้ จับลมไว้ นี้มันเป็นอย่างนี้เวลาภาคปฏิบัติ ปริยัติ อู้ฮู..ศึกษาเล่าเรียนมา อู้ฮู..ปัญญาเยอะมาก อู้ฮู..เก่ง รู้ไปหมดเลย แหมนักปราชญ์ราชบัณฑิตเลย เวลาปฏิบัติแม่งปฏิบัติไม่เป็น แล้วพอเราปฏิบัติกันนี่ พอกำหนดลมเฉยๆ นี่ มันบอกไอ้พวกนี้โง่ฉิบหายเลย เอาปัญญาอะไรมาปฏิบัติวะ ดูลมเฉยๆ แล้วมันจะได้ห่าอะไร มึงดูเถอะเดี๋ยวจะได้

ไอ้นี่ปัญญามากๆ รู้มากๆ ไอ้ปฏิบัติรู้ร้อยแปดพันเก้านะ ไอ้พวกนี้นะไอ้ขี้ลอยน้ำหมดเลย ไม่ได้อะไรหรอก แต่ไอ้กำหนดเฉยๆ นี่แหละ กำหนดเฉยๆ เพราะรู้จากตัวตน ไม่มีความสำนึกรู้จากตัวตน มันก็เป็นคนเลว คนเรานี่ถ้าไม่สำนึกว่าเราเป็นคนนะ

ประสาพวกเรานี่เอ็งไม่รู้จักตัวเองเลยล่ะ เอ็งรู้จักเพื่อน รู้จักคนเขาไปหมดเลย เราจะเกรงใจเพื่อน จะถึงเวลานัดจะอะไร แต่แล้วกูไม่รู้อยู่ไหนนะ กูเป็นสมบัติเขาหมดเลยนะ พวกมึงนี่เป็นสมบัติของคนอื่น เขาเรียกใช้นะ เดี๋ยวเพื่อนนัด เดี๋ยวจะไปหาเพื่อนนะ อ้าวแล้วมึงอยู่ไหนล่ะ อ้าวก็กูไม่มีไง กูเป็นของเพื่อนหมดเลย

แต่เวลาพุทโธ พุทโธนี่ กูจะเป็นกูขึ้นมานะ นี่เวลาสำนึกขึ้นมานี่ โอ้โฮ โอ้โฮ เห็นไหม พุทโธ พุทโธสำคัญมาก พุทโธหรือกำหนดลมนี่ นี่ไงรู้จักตัวตนของเรา แล้วตัวตนนี่แหละมันจะออกไปวิปัสสนา ตัวตนนะถ้ามีตัวตน ถ้าไม่มีตัวตนทำสมาธิไม่ได้ ตัวสมาธินี่คือกดตัวตนลง แต่คำว่ากดตัวตนลงแล้วนี่มันเป็นสัมมาสมาธินี่ มันเป็นพลังงานเพียวๆ พลังงานนี้ถึงจะเป็นพลังงานอิสระ แล้วพลังงานอิสระนี้ถึงออกไปวิปัสสนาได้

นี้คำเวลาพูดนี่เราพูดถึงตัวตน คือรู้จักตนนี่ รู้จักตนเห็นไหม ถ้าเราบอกว่าเอ็งชี้มาสิเอ็งเป็นใคร เอ็งชี้ตัวมึงให้กูดูทีสิ ไม่มีเลย ชี้แขนนะถ้าเกิดเป็นเนื้อร้ายก็ตัดทิ้ง ชี้หัวใจนะ หัวใจรั่วก็เปลี่ยนหัวใจเลย อ้าว..แล้วหัวใจของกูเหรอ ไม่มีอะไรเลย

แต่ถ้าจิตสงบขึ้นมานี่ อื้อฮือ นี่ตัวกู กูอยู่นี่เอง กูอยู่นี่เอง ตัวจิตสงบนั่นคือตัวแจ้งปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิที่ว่าแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง นี่ปฏิสนธิจิต จิตตัวนี้นี่ วัฏวนนี่มันวนมา แล้วพอมันมาปฏิสนธินี่ นี่ของจริง ตัวความรู้สึกคือตัวของจริง เรื่องสสารเรื่องวัตถุนี่ของปลอม ของปลอมเพราะเราได้สถานะ แล้วจิตใจก็เคลื่อนออกไป เราทิ้งไอ้พวกห่านี่ไว้ที่โลกนี้ แล้วมันจะเคลื่อนออกไป

พระพุทธเจ้าบอกคนเกิดคนตายนี่ เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ถ้าเอาน้ำตาของคนที่ทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่ น้ำตารวมแล้วทะเลสาบยังสู้ไม่ได้เลย นี่มันระเหยเปลี่ยนแปลงไปหมดไง นี้ถ้าเราพุทโธหรือกำหนดลมนี่เห็นไหม พอเรารับรู้ตน ตรงนี้ไม่ต้องไปฟังใคร ไม่ต้องให้ใครมาเยาะเย้ยถากถางว่าไอ้พวกพุทโธ ไอ้หลับหูหลับตาจะโง่จะเง่านี่ หูตาสว่างก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว ไอ้ฉลาดๆ นี่ขี้ลอยน้ำยังหมุนในวัฏฏะ ยังไปไหนไม่รอดกัน

กำหนดเฉยๆ กำหนดลมเฉยๆ เฉยๆ ต้องมีสตินะเว้ย กำหนดลมเฉยๆ แต่สติพร้อม กำหนดพุทโธ พุทโธนี่ กำหนดตรงนี้ แล้วที่ว่านี่พอมันรวมลงแล้วนี่ พอมันมีความรับรู้แล้ว เวลามันตื่นเต้นตกใจนี่ไม่มีปัญหากลับมาตรงนี้ กลับมาตรงนี้ ผู้ใหญ่นะ เด็กนี่เอ็งลองเอาไปทิ้งไว้ที่กรุงเทพฯสิ เด็กทารกนี่กลับไม่ถูกหรอก แต่พวกเรานี่เอ็งไปไหนมาได้รอบจักรวาลเลย

จิตถ้ามีกำลังแล้วมีหลักแล้วนะ โอ้โฮ ไอ้ที่ว่าไม่เข้าใจไม่เข้าใจนี่มันจะรู้ขึ้นมาทันทีเลย ครูบาอาจารย์สอนเลยว่าจิตสงบ แล้วเห็นนิมิตเห็นอะไรต่างๆ งง ให้กลับมาถามจิตว่านั่นคืออะไร มันจะตอบเลย

โยม : แล้วไอ้อาการที่พอมันออกจากสมาธิแล้วมันแบบเบื่อโลกครับ

หลวงพ่อ : เบื่อโลกนี่วิบากไง

โยม : ต้องสอนมันหรือครับ หรือว่าเป็นกรรมของผม

หลวงพ่อ : ไม่หรอก มันเป็นวิบากไง วิบากคือผล เช่นเอ็งบอกว่า นี่พวกเราบอกว่านี่อริยสัจใช่ไหม ทุกควรกำหนด ทุกคนบ่นทุกข์หมดเลย แต่พอมาเรานะมึงไม่เห็นทุกข์เลย มึงไม่รู้จักทุกข์เลย ไหนทุกข์ของมึงล่ะ

ทุกข์ ! ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือมีใจมีภพ แล้วใจนี่มันโดนกิเลสตัณหาครอบงำ แล้วเรากระทบอะไรเราก็ทุกข์มากไง ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์นี่ที่ภพ แต่เวลาเอ็งทุกข์นี่เอ็งทุกข์ที่ไหน ทุกข์ที่อารมณ์ใช่ไหม อู๋ย..เขาด่ากูนี่ เขาว่ากูนี่ อันนี้คือวิบาก คือผลที่เกิดจากเขาด่ากู กูอยู่ที่ไหนล่ะ เขาด่าเรานี่เราคือที่จิต แล้วเราก็รับรู้ข้อมูลเข้ามา ใช่ไหม พอรับรู้ขึ้นมาแล้วนี่ ไอ้ตรงนี้มันตัณหาไง พอรู้ที่ใจมันก็ส่งผลออกมา

นี่เรียกวิบาก วิบากคือผลของทุกข์ไง ที่เอ็งเบื่อทุกข์เบื่อทุกข์นี่ เอ็งเห็นทุกข์หรือเปล่า เอ็งไม่รู้จักอะไรเลย วิบากคือผลอารมณ์ อารมณ์ที่เกิดจากการกระทบ ฉะนั้นถ้าเอ็งจิตสงบ เอ็งตั้งใจทำความสงบของใจเอ็ง แล้วเอ็งตั้งใจทำความสงบนะแล้วเอ็งกลับมาดูที่นี่สิ เพราะพระพุทธเจ้าสอนว่าอริยสัจไง ทุกข์ควรกำหนด ! ทุกข์ควรกำหนด ! แต่เอ็งไม่ได้กำหนดทุกข์ เอ็งไม่ได้เห็นจากทุกข์ไง

หลวงตาบอกเลยนะ นั้นกิเลสมันมาขี้ใส่ไว้บนหัวใจเรา แล้วมันก็ไปแล้ว แล้วกูก็ทุกข์ ทุกข์

โยม : ใช่ครับมันเป็นอย่างนั้น แล้วมันก็หนีไปที่นู้นที่นี่

หลวงตา : นั่นไงมันไปแล้ว มันไปทำลายเราเต็มที่เลยนะ แล้วมันก็ไปแล้วนะ ทุกข์ ทุกข์ แล้วก็อวดเก่งนะ ทุกข์ ทุกข์ ใครมาหากูนี่กูดูถูกฉิบหายเลย ไหนทุกข์มึงล่ะ ทุกข์อยู่ไหน ไหนล่ะ ไหนล่ะทุกข์ เพราะเราไม่รู้จัก เราไม่เห็นทุกข์ เราเลยกำหนดมันไม่ได้ กำหนดคือเป้าหมาย เราไม่มีเป้าหมายชีวิต เราไม่มีเป้าหมายการทำ เราได้อะไรขึ้นมา

ทุกข์ควรกำหนด ถ้ากำหนดเป้าหมายกำหนดทุกข์ได้นะ สมุทัยควรละ สมุทัยตัณหาความทะยานอยากควรละ ละด้วยอะไรละด้วยอริยมรรค แล้วถ้ามันเกิดขึ้นมาเกิดนิโรธ ความดับทุกข์ ทีนี้เราไปอ่านตำรากันไง เอ้ย..ทุกข์ควรกำหนด อู๋ย..ทุกข์ อู้ฮู..เวลาทุกข์นะแม่งกอดคอร้องไห้น้ำตาท่วมนี่แหละบอกทุกข์ ทุกข์ เออ สติก็ไม่มีแล้วนั่น

คำว่าทุกข์นี่นะเพราะอะไร เพราะมันซ้อนกันอยู่ไง ธรรมะในภาคปฏิบัติ กับธรรมะโลกๆ นี่มันซ้อนกันอยู่ เห็นไหมมันซ้อนกันอยู่ แล้วเราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไง ทุกข์ใช่ไหม ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ก็ว่ากันไป แล้วพอเห็นทุกข์ อ๋อนี่คือทุกข์ แต่ถ้าปฏิบัติพอจิตละเอียดเข้าไป ทุกข์มันเกิดที่ไหน เราไปเห็นอาการที่ทุกข์ แล้วประสาเราเลยจิตเห็นกระทบแล้ว อย่างที่เห็นนี่เห็นภาพ เห็นจิตใช่ไหม พอเห็นจิตนี่จิตมันเป็นอะไรเห็นไหม นี่กำหนดจิต นี่พุทโธ พุทโธจะเห็นจิตตนนี่ มันทุกข์เพราะอะไรล่ะ ทุกข์เพราะมึงโง่ไง

เดี๋ยวเราแจกซีดีนะเราเทศน์ไว้อันหนึ่ง จิตจริงโสดาบันก็จริง เพราะเขาบอกเขาปฏิบัติกันนี่ เขาเป็นโสดาบัน โสดาบันนี่ ใครรู้สภาวธรรมเป็นโสดาบันหมดนี่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้ามึงรู้สภาวธรรมเป็นโสดาบันนะ เครื่องวัดอากาศกูเป็นโสดาบันไปแล้ว เครื่องวัดความชื้นกูเป็นโสดาบัน เห็นไหม ปรอทกูก็เป็นโสดาบันสิไอ้ห่า

มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะมันปลอมที่จิต เทคโนโลยีของมันไปใช้ประโยชน์ของมัน เทคโนโลยีคือเทคโนโลยีของมัน เขาประกอบขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของเขา แล้วจิตมันได้อะไร ตัวความรู้สึกนี่ อย่างเช่นเรานี่เราเป็นพ่อค้า เราทำธุรกิจนะ ทุกอย่างเลยกูทำธุรกิจต่างๆ ที่ว่าเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติ เกี่ยวกับการมวลอากาศ เกี่ยวกับลมฟ้านี่ เรื่องไฟฟ้าอะไรนี่กูทำได้หมดเลย แล้วกูได้อะไรล่ะ กูก็ยังทุกข์อยู่นี่ไง เพราะธุรกิจกูเยอะฉิบหาย กูเครียดฉิบหายเลย กูทุกข์ฉิบหายเลย แล้วกูได้อะไรล่ะ

เพราะจิตมันปลอมไง ถ้าจิตมันจริงเห็นไหมเราต้องกำหนดเข้ามา กำหนดจิตเข้ามาให้สงบเข้ามาให้ได้ มันก็จริงแบบหินทับหญ้า หมายถึงก็จริงชั่วคราว เพราะมันยังปลอมอยู่ ไปวิปัสสนาไปดูกายเวทนามันก็ยังปลอมอยู่ เพราะมันไม่ได้ทำความสะอาด พอพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมนี่ ธรรมะสภาวธรรมสัจธรรมนี่ สัจธรรมมันก็จะซักฟอก ซักฟอกเดี๋ยวมันก็ปล่อยทีหนึ่ง เห็นไหม มันก็จะได้ซักฟอกทีหนึ่ง แล้วซักฟอกทีหนึ่งแล้ว เดี๋ยวขี้ไคลก็ออกมาอีกแล้ว อาบน้ำเสร็จแล้วเดี๋ยวก็เลอะอีกแล้ว อ้าว..ก็ซักฟอกอีกเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่าจะถอนหมดเลย พอถอนหมดนั่นล่ะถึงเป็นโสดาบัน

นี่มันซ้อนกันอยู่ไง มันคำพูดเดียวกันไง มันคำพูดเดียวกัน แต่ ! แต่ไม่เหมือนกัน คำพูดของโลกกับคำพูดของธรรม คำพูดเดียวกันนี่แหละ แต่ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเพราะอะไร เราพูดอย่างนี้เลยนะ ปัญญาคนละมิติ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษา เขาว่ามีปัญญานะ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา อู้ฮูมันเก่งฉิบหายเลย ปัญญาเยอะมากไปหมดเลย แต่ปัญญากิเลสพาใช้ไง ปัญญาของกิเลสไง ถ้าจิตที่มันสงบขึ้นมาแล้ว นี่ๆ สุตมยปัญญา

จินตมยปัญญาเห็นไหม จินตนาการก็ดูแลกัน มันก็ว่ากันไป จินตนาการก่อนเพราะมันเป็นระยะผ่าน ระยะเปลี่ยนผ่านของความคิดเรานี่ ระยะเปลี่ยนผ่านของปัญญาที่มันจะลึกซึ้งไง พอลึกซึ้งเข้าไปปั๊บนี่ พอลึกซึ้งเข้าไปก็ลึกเข้าไปในจิตนี่ คนละมิติเห็นไหม ๓ มิตินี่ พอมิติอีกมิติหนึ่งโอ้โฮ..เวลาใครจิตสงบหรือปัญญาเกิดขึ้นไปหาหลวงตา แล้วบอกว่านี่พูดไม่ออกเลย พูดไม่ถูกเลย หลวงตาบอกไม่ต้องพูดหรอก เรารู้แล้วเรารู้แล้ว คนเป็นกับคนเป็นเห็นไหม

เพราะมันพูดออกมาไม่ได้หรอก ความรู้สึกเราทั้งหมดนี่เอ็งเขียนเป็นตัวอักษรได้ไหม มันอธิบายออกมาได้ไหม นี่ขนาดความรู้สึกมึงนะ แล้วธรรมะมันลึกกว่านี้อีกกี่ร้อยกี่พันเท่า นี่สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน มันเป็นสันทิฏฐิโกรู้จำเพาะตน เป็นความจริงเลย ผู้ที่ปฏิบัติ ถ้าไม่รู้พูดไม่ได้ ไม่รู้ก็แตกไม่ได้

นี่หลวงตาไปหาหลวงปู่แหวนเห็นไหม ท่านบอกไม่รู้ก็ถามปัญหานี้ไม่ได้ แล้วถ้าหลวงปู่แหวนไม่จริง หลวงปู่แหวนก็ตอบไม่ได้ เพราะมันก็แบบว่าท่านสงสัยอยู่ไง ว่าหลวงปู่แหวนนี่ก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นก็ยกย่องมาก ทำไมมีเราสู้เราสู้อยู่นั่นล่ะ ท่านก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน เอ๊ะเราสู้เราสู้นี่ เอ๊ะมันเป็นอย่างไร ก็ขึ้นไปแบบว่าทดสอบ เพราะท่านก็มั่นใจในตัวท่านไง ไม่รู้ถามไม่ได้ พอถามปัญหาเข้าไปนี่ โอ้โฮ..ผลัวะ ผลัวะๆๆ นี่พื้นฐานนะ พอพื้นฐานผลัวะนี่อวิชชาเลย ผลัวะ ก้มลงกราบเลย

ใครจะติฉินนินทาอย่างไรไม่เกี่ยว ใครจะว่ากล่าวร้ายขนาดไหนไม่สน เพราะเรื่องของขี้เรื่องของโลกนี่ เรื่องของการติฉินในโลกธรรม ๘ มันร้อยแปดอยู่แล้ว แต่สัจจะความจริงนี้ได้พิสูจน์แล้ว จบ

นี่ไงมันถึงบอกว่าพูดออกมาไม่ได้ แต่ ! แต่ ! แต่ผู้รู้กับผู้รู้คุย รู้นะ ถ้าพูดออกมาไม่ได้นะโอ้โฮ..สบายกูแล้ว กูจะหลอกทั่วประเทศเลย เพราะพูดออกมาไม่ได้ใช่ไหม กูก็พูดของกูคนเดียวนี่แหละ เออ เออ แต่มึงไม่เห็น ไปเจอของจริงนี่มึงจะหงายท้องเลย เพราะตอนนี้เขาหงายท้องแล้วไง เพราะว่าเขาแบบว่า จริงๆ เราไม่ยุ่งหรอก ทีนี้คนมันมาถามปัญหาเยอะ อย่างที่เขาดูจิตกันนี่เขาบอกว่า จิตส่งออกไม่ได้อะไรนี่

ตอนนี้มีเว็บไซต์ของเรา เว็บไซต์เราเปิดแล้ว sa-ngob.com ไปเปิดได้เลย เพียงแต่ว่าตอนนี้ตึกยังไม่เสร็จใช่ไหม เราก็แบบว่าไปจองไว้ก่อน คือไปทำเว็บไซต์ไว้ก่อนไง เดี๋ยวตึกเสร็จเราจะยัดข้อมูลเต็มที่ ตอนนี้ข้อมูลก็เพียงแต่หน้าเว็บมันยังไม่มีอะไร ก็เอาขึ้นไปเล็กๆ น้อยๆ เอาพวกดูจิตพวกอะไรไปออกไง ไอ้นี่จิตส่งออก ของเขาบอกจิตส่งออกไม่ได้ เขาบอกว่าเขาเขียนหนังสือกันมาไงว่าจิตส่งออกไม่ได้ โอ้โฮ..ถ้าจิตส่งออกไม่ได้นะ เอ็งจุดไฟขึ้นมานี่มีความร้อนไหม

โยม : มีครับ

หลวงพ่อ : จิตคือพลังงาน พลังงานของจิต ธรรมชาติของมันคือส่งออก พลังงานมันต้องมีแรงดันอยู่แล้ว จริงไหม แล้วบอกมันส่งออกไม่ได้ เขาบอกจิตส่งออกไม่ได้ ส่งออกคือสัญญาอารมณ์ต่างหาก สัญญาอารมณ์เกิดจากอะไร ถ้าไม่มีพลังงานสัญญาจะเกิดได้ไหม

โยม : ไม่ได้ครับ

หลวงพ่อ : ความคิดเกิดบนอะไร ความคิดเกิดบนพลังงานนี้ แล้วพลังงานส่งออกไม่ได้เหรอ

โยม : ส่งออกตลอดเวลา

หลวงพ่อ : เออ กูอธิบายไปนี่ แล้วไอ้พวกเว็บวัดป่ามันเอาไปออกนี่ โอ้โฮ..ฮือฮาเลย นี่ไงจะบอกว่าผู้รู้มีนะเว้ย ที่ว่าพูดไม่ได้พูดไม่ได้ มึงจะหลอกแดกเข้าไปเถอะ มึงเสร็จเลย ของมันเป็นนามธรรมไง อธิบายธรรมะพระพุทธเจ้านี่ แต่กูไม่รู้อะไรเลย เออ แต่กูอธิบายชัดเจนมาก ละเอียดลึกซึ้งมาก พออธิบายของจริงมา แม่งติดเลย ไม่เป็น

หลวงพ่อ : มีอะไรอีกไหม

โยม : อาจารย์ครับ อึดอัดอย่างไรก็ต้องกลับไปพุทโธใหม่

หลวงพ่อ : ถ้าไม่กลับไปพุทโธไม่จบ ถ้าไม่กลับไปพุทโธนะ อย่างเช่นตอนนี้

โยม : อกจะระเบิดครับพอกลับไปพุทโธ

หลวงพ่อ : เคยตัว หลวงตาเห็นไหม นี่กลับเข้ามาคำพูดคำนี้มันเหมือนกับหลวงตาเลย หลวงตาท่านปฏิบัติทีแรกเห็นไหม ท่านบอกมันอยู่จักราช แล้วท่านก็กำหนด กำหนดจิตไว้เฉยๆ กำหนดดูจิตนี่แหละ เพราะโดยธรรมดาใช่ไหม ทั้งๆ ที่หลวงตาเคยกำหนดพุทโธมาก่อนนะ ท่านบอกว่าท่านไปบวชใหม่ๆ เห็นไหม พระครูที่วัดโยธานิมิตอุปัชฌาย์ท่าน ท่านพุทโธท่านก็พุทโธนี่ เรียนมา ๗ ปี พุทโธนี่รวมอยู่ ๓ หน แต่พอออกปฏิบัติจริง เอาจริงเอาจังนี่ดันไปดูจิต พอดูจิตนี่ท่านบอกดูจิต พอดูจิตจิตก็ดีอยู่ เพราะท่านมีฐานอยู่ ก็ดีอยู่ก็แบบทำความสงบได้ แล้วพอมาทำกลดหลังเดียวเสื่อมหมดเลย

ท่านบอกว่าทุกข์ครั้งใดเท่ากับทุกข์จิตเสื่อมนี้ไม่เคยมีเลย แล้วพอดูจิต ท่านพยายามของท่าน ท่านบอกพยายามขนาดไหนก็แล้วแต่นะ เหมือนกับเข็นให้จิตนี้เข็นครกขึ้นภูเขา แล้วมันก็ดีได้พักหนึ่ง พอดีได้พักหนึ่งนะมันไม่มีคำบริกรรม คือมันไม่มีหลักไง เหมือนเราเข็นครกขึ้นภูเขานี่เราไม่มีหลักอะไรเลย พอเราสติมันไม่มั่นคงไง พอถึงเวลาปั๊บเผลอมันก็หล่นทับมาเลย

ท่านบอกท่านทุกข์มาก ทุกข์มาก จนสุดท้ายแล้ว เอ๊ะ ! ต้องใช้คำบริกรรม เราคงขาดคำบริกรรม เพราะตอนนี้พอดีหลวงปู่มั่น ตอนที่ท่านจิตเสื่อมนี่ ท่านดูจิตนี่ท่านยังไม่เข้าไปหาหลวงปู่มั่นนะ ท่านอยู่จักราชไง ท่านจำพรรษาของท่านเอง แล้วพอออกจากนั่นท่านก็เข้าไปหาหลวงปู่มั่น แล้วตอนนั้นหลวงปู่มั่นท่านก็ไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ไง ก็ทิ้งท่านอยู่คนเดียว ท่านก็คิดว่า ท่านคงขาดบริกรรม ไม่มีคำบริกรรม แล้วอยู่คนเดียวไม่มีใครยุ่งไง ก็กลับมาบริกรรม ๓ วันแรกอกแทบระเบิดเลย เพราะมันเคยตัว

โยม : มันจะหนีเสวยตัวอื่นครับ กินตัวอื่น

หลวงพ่อ : ใช่ มันต้องใช้สติบังคับ พุทโธ พุทโธ พุทโธหรือกำหนดลม ไปตัวอื่นไม่ได้ ไปตัวอื่นคืออารมณ์สกปรกจำไว้ อารมณ์ ! อารมณ์ ! อารมณ์ ! เป็นอาหารของจิต พลังงานนี่เห็นไหม พลังงานนี่ดูสิไฟมันเผาอะไร เผาขยะ เผาทุกอย่างเลย ถ้ามันเผาขึ้นมามันถึงมีเศษ เพราะไฟมันต้องอาศัยเชื้อใช่ไหม อาศัยฟืนไฟเข้าไปเพื่อให้ไฟมันต่อเนื่อง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเผา เวลามันเผาอะไรมันก็เผาอารมณ์ อารมณ์นี่เห็นไหมมันกินของมันอยู่ตลอดเวลา แล้วมันเคยตัวของมัน แล้วเราเปลี่ยนมันให้มันเป็นพุทโธ พุทโธนี่ พอพุทโธนี่มันก็เหมือนกับโซล่าเซลล์แล้ว โซล่าเซลล์เพราะเก็บพลังสะอาด พุทโธ พุทโธนี่เหมือนโซล่าเซลล์ นี่ดูสิพลังงานเห็นไหม ดูสิร้อนหมดเลย แล้วทำไปนี่ทุกคนวิ่งหนีหมดเลย แต่พอลงไปในแบตขึ้นมานี่โอ้โฮ ใครๆ ก็อยากจะเปิดไฟ พุทโธ พุทโธนี่แล้วมันอึดอัด เพราะอะไร

โยม : มันจะดิ้นไปกินตัวอื่นประจำเลยครับ

หลวงพ่อ : พุทโธก็ได้ ลมหายใจก็ได้ อะไรก็ได้ ต้องมีสติ นี้พอกลับมาที่นี่ปั๊บนี่ นี่สัมมาสมาธิ แต่เขาบอกว่าไม่ต้อง ที่เขาพูดกันดูจิตดูเฉยๆ ดูจิตไปเฉยๆ ดูเฉยๆ แล้วห้ามบังคับ ห้ามตั้งสติ ถ้าตั้งสติ เจตนาคือผิดหมด ต้องเผลอ ต้องเผลอนะ พอเผลอแล้วนี่มันจะลงสมาธิเอง มันจะลงสัมมาสมาธิด้วยความไม่จงใจ ไม่จงใจ มันพูดอย่างนี้นะ

แต่คนไม่เคยปฏิบัติไม่เข้าใจ เราอธิบายหมดแหละ แล้วเขาบอก เวลาเขาอ้างไง นี่คนไม่เป็นไง เวลาอ้างนะ อ้าว..หลวงตาท่านก็เคยดูจิตมาก่อน นี่เขาพูดอะไร เขาพูดดูจิตด้วย บอกไม่ใช่ พูดดูจิตว่าดูจิตมันผิด ไม่ใช่ว่าดูจิตมันถูก เขาบอกว่าถึงจะผิดอย่างไรก็แล้วแต่ก็เป็นแนวทางเดียวกัน ที่เคยเดินมาด้วยกัน อ้าว..อ้าวก็กูผิดมาแล้วกูทิ้งไง มันก็บอกว่า ก็พูดเหมือนกันไง ก็ดูจิต เราบอกไม่ใช่ เราปัญญาอบรมสมาธิ

เราบอกหลวงปู่ดูลย์นี่เวลาท่านสอนนะ ท่านสอนว่า จิตความคิดเท่าไร ความคิดมีความคิดเท่าไรมันก็มีความทุกข์ ต้องหยุดความคิด การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิดเห็นไหม มันก็มาเข้าอันเดียวกับหลวงตา คือปัญญาอบรมสมาธิ การหยุดความคิดก็ใช้ความคิด คือใช้ความคิดพิจารณา ไม่ใช่ดูอย่างนั้น นี่เขาห้ามพิจารณา ห้ามตั้งสติ ห้ามหมดเลย ถ้าตั้งสติปั๊บเป็นอัตตกิลมถานุโยค คือผิด แต่ถ้าปล่อยเป็นขี้ลอยน้ำไปถูก

เพราะพอเขาทำอย่างนี้มา แล้วเขาสอนอย่างนี้มาเยอะใช่ไหม พอสอนอย่างนี้มาเยอะ เขาพยายามจะหามวลชน หาอ้างอิงว่าทำเหมือนกัน คือแบงก์ปลอมไง เอ็งมีแบงก์มาเอ็งก็จ่ายตังค์ได้ตามกฎหมายใช่ไหม แต่ของกูนี่ ถ้ากูจะจ่ายตังค์กูจะบอกว่า แบงก์ของผมนี่ถูกต้องตามกฎหมายนะ เวลาจะซื้ออะไรกูต้องบอกเขาว่า แบงก์กูนี่นะ นี่ถูกต้องตามกฎหมายนะ นี่มีรัฐบาลไทยรับประกันนะ เอ็งว่ากูต้องพูดอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า เพราะอะไร เพราะกูไม่มั่นใจว่าแบงก์กูจริงหรือปลอมไง แต่แบงก์ของมึงนี่ เราซื้อของเราก็จ่ายตังค์แล้วเราก็กลับใช่ไหม แต่ของเราเวลาจ่ายนี่ แบงก์นี้ใช้ได้ตามกฎหมายนะ เพราะเขากลัวคนจะบอกว่าแบงก์กูปลอมไง

นี่แล้วเขาก็อ้างคนนู้น อ้างคนนี้ อ้างเขาทั่วไปหมด เพราะมันมาจากที่ไม่ถูกต้อง นี่คือคำว่าพุทโธแล้วมันเครียดมันอะไร อันนี้พออย่างนี้ปั๊บนี่มันก็บอกว่าเวลาพุทโธแล้วนี่มันอึดอัด เพราะการทำงาน พอไปดูจิตแล้วมันสบาย คนมันพลาดตรงนี้ มันชอบสบายกัน แล้วพอมันทำที่มันอึดอัด กูก็บอกว่ามันเป็นข้อเท็จจริงไง เพราะการทำภาวนานี่มันจะละภพละชาติ

งานทางโลกนี่นะมันเป็นสมบัติของโลกเห็นไหม งานของเรานี่อริยทรัพย์ สมบัติของจริงไง สมบัตินี่มันเกิดจากจิต เกิดจากจิตเห็นไหม เวลาจิตนี้ตายไปนี่มันก็ไปเกิดอีกในวัฏฏะ ถ้าจิตเรามีคุณสมบัติ อริยภูมินี่ ถ้ามันยังไม่ถึงที่สุดมันก็ไปเกิด เห็นไหมเป็นเทวดาอริยภูมิ เป็นพรหมอริยภูมิ ถึงที่สุดแล้วมันไม่เกิดอีก แล้วมันไม่เกิดอย่างไร แต่ทรัพย์สมบัติจากภายนอกนี่ ทรัพย์สมบัตินี่เรายังต้องขวนขวายกันมากกมายขนาดนี้ แล้วทรัพย์ภายในนี่ มึงจะทำฉาบฉวย มันเป็นไปไม่ได้ไง

นี้ในข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ จะทุกข์ก็ต้องยอมรับไง มันต้องขยันหมั่นเพียร ต้องยอมรับทุกข์สิ ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรสะดวกสบายตามที่เขาบอกว่าลัดสั้นเอาโสดาบัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เนาะ เอาแค่นี้ก่อน